การเสริมจมูกแบบปิด (Close Rhinoplasty)
ปัจจุบัน การทำจมูกเป็นการทำศัลยกรรมที่ได้รับความนิยมเป็น 1 ใน 3 อันดับ เพราะนอกจากจะช่วยทำให้ใบหน้าดูมีมิติแล้ว ยังแก้ไขปัญหารูปทรงจมูกที่ไม่เป็นดั่งใจนั้น ให้เป็นไปตามความต้องการให้เข้ากับแต่ละบุคคลได้อีกด้วย เรื่องของการเสริมจมูกนั้นยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่ทราบว่าการเสริมจมูกมีเทคนิคผ่าตัดที่ใช้อยู่ 2 วิธี คือ การเสริมจมูกแบบปิด (Close Rhinoplasty) และ การเสริมจมูกแบบเปิด (Open Rhinoplasty) เลือกได้ตามความเหมาะสมของงบประมาณและความต้องการของผู้รับบริการ
สารบัญ
เสริมจมูกแบบปิด คืออะไร ?
การผ่าตัดเสริมจมูกแบบปิด เป็นการกรีดและการปรับรูปร่างต่าง ๆ จะทำภายในรูจมูก วิธีนี้มักใช้เมื่อต้องการแก้ไขเล็กน้อยและปรับรูปร่างปลายจมูก การผ่าตัดเสริมจมูกมีการบุกรุกน้อยกว่าการทำศัลยกรรมจมูกแบบเปิดมาก ซึ่งหมายความว่าโดยทั่วไปแล้วจะมีอาการบวมหลังการผ่าตัดน้อยกว่าและใช้เวลาพักฟื้นที่สั้นกว่า นอกจากนี้ เนื่องจากรอยบากใดๆ เกิดขึ้นที่ด้านในของรูจมูก จึงไม่มีรอยแผลเป็นที่มองเห็นได้
เสริมจมูกแบบปิดเหมาะสำหรับใคร ?
การเสริมจมูกแบบปิด เหมาะสำหรับคนไข้ที่มีปลายจมูกไม่สั้น และมีเนื้อหุ้มที่ค่อนข้างหนา ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงฐานของจมูกมาก เนื่องจากมีโครงสร้างจมูกแบบเดิมดีอยู่แล้ว หรือไม่มีความผิดปกติอื่น ๆ เพียงแค่ต้องการเน้นเสริมดั้งให้โด่งขึ้น
การเตรียมตัวก่อนเสริมจมูกแบบปิด
- ปรึกษาแพทย์ และแจ้งข้อมูลสุขภาพอย่างละเอียด เช่น โรคประจำตัว ยาที่รับประทานประจำ ปัญหาเกี่ยวกับฟัน การแพ้ยา แพ้อาหาร
- งดการใช้ยาสมุนไพร ยาบำรุง และวิตามินทุกชนิดก่อนการผ่าตัด อย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ หรือ 7 วัน เช่น ยาแก้ปวด แอสไพริน วิตามินซี วิตามินดี น้ำมันปลา
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมง หรือ 1 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด
- งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 4 สัปดาห์ เพื่อป้องกันภาวะเนื้อเยื่อขาดเลือดมาเลี้ยง
- งดรับประทานทานอาหารหมักดอง อาหารทะเล เพราะจะส่งผลต่อการอักเสบของแผล
- งดแต่งหน้า งดใส่เครื่องประดับทุกชนิด เช่น ต่างหู สร้อย แหวน จิลต่าง ๆ บนร่างกาย และควรสระผมก่อนให้เรียบร้อยก่อนผ่าตัด
- งดการทาเล็บมือ เล็บเท้า และงดการต่อเล็บทุกชนิด
- งดน้ำและอาหารก่อนผ่าตัดตามแพทย์สั่ง ในกรณีผ่าตัดโดยฉีดยาชาเฉพาะจุด ไม่ต้องงด
ข้อควรระวังของการเสริมจมูกแบบปิด
การเสริมจมูกแบบปิด แม้จะเป็นการผ่าตัดที่มีแผลเล็ก ใช้เวลาไม่นาน ไม่ซับซ้อน แต่วิธีเสริมจมูกแบบปิดมีข้อจำกัดในเรื่องการลดสัดส่วนจมูก เช่น ดั้งจมูกโค้ง โก่ง งอ จมูกใหญ่ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่ซิลิโคนจะทำให้เนื้อเยื่อบางและทะลุได้ ดังนั้นต้องเลือกทำกับแพทย์ผู้มีประสบการณ์อย่างแท้จริง
คนที่มีจมูกสั้น ไม่มีเนื้อปลายจมูกมากพอ หากเสริมจมูกแบบปิดแล้วใส่ซิลิโคนยาวไปถึงปลายจมูก ทำให้จมูกโด่งขึ้นได้จริง แต่รูจมูกจะไม่ได้ยืดตามปลายขึ้นไป เมื่อเกิดการขยับใบหน้าจากการใช้ชีวิตประจำวันปกติ จะทำให้ซิลิโคนเสียดสีกับปลายจมูก เนื้อจะค่อย ๆ บางลง และเกิดการทะลุได้ แม้จะรองกระดูกอ่อนหลังใบหูแล้วก็อาจเกิดปัญหานี้ได้เช่นกัน ต้องระมัดระวังให้มากที่สุด
อาการข้างเคียงหลังเสริมจมูกแบบปิด
การเสริมจมูกแบบปิด แม้จะเป็นการผ่าตัด แต่อาการหลังเสริมจมูกจะมีน้อยกว่าการเสริมจมูกแบบเปิด อาการที่พบได้ทั่วไป เช่น ตึงบริเวณแผลผ่าตัด ใต้ตาบวม เขียวช้ำ มีเลือดออก บ้วนปากแล้วมีเลือดลงคอ อึดอัดจมูก ซึ่งควรดูแลตัวเองย่างเคร่งครัดเพื่อให้ผลลัพธ์จมูกออกมาพุ่งสวย ดูโด่งอย่างที่ต้องการและคุ้มค่าที่สุด
วิธีดูแลหลังเสริมจมูกแบบปิด
- ใน 72 ชั่วโมง หลังผ่าตัด ควรประคบเย็นด้วยคูลแพ็คบริเวณหน้า โดยเว้นตรงแผลเอาไว้ เพื่อช่วยให้เลือดหยุดไหล และลดอาการบวมได้ไวขึ้น
- หลังจากผ่าตัด 72 ชั่วโมง แผลจะเริ่มสมานกัน ให้เปลี่ยนมาใช้การประคบอุ่นแทน เพื่อลดรอยเขียว ช้ำ ม่วง
- ห้ามแคะ แกะ เกา หรือขยี้บริเวณจมูก ระวังการเกิดการช้ำเพิ่มมากขึ้น
- ควรนอนโดยใช้หมอนรองคอ ให้ศีรษะสูง เพื่อให้เลือดไม่คั่งในโพรงจมูก และหลีกเลี่ยงการนอนคว่ำ เพื่อไม่ให้จมูกกระทบกระเทือน
- 1 สัปดาห์หลังผ่าตัด หลีกเลี่ยงการไปในสถานที่ที่มีฝุ่นละอองมาก ป้องกันการไอหรือจาม ซึ่งเป็นอันตรายต่อจมูก
- ควรรับประทานอาหารอ่อน งดอาหารแข็ง เหนียว
- งดล้างหน้า เพื่อไม่ให้บาดแผลโดนน้ำอย่างน้อย 3 วัน หลังจากนั้นล้างหน้าได้ตามปกติ แต่ต้องล้างด้วยความอ่อนโยน
- งดรับประทานอาหารหมักดอง หรืออาหารที่มีรสเผ็ดจัด ที่ส่งผลต่อการอักเสบของแผล และทำให้แผลหายช้า
- งดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และหยุดการสูบบุหรี่ ในช่วง 1 เดือน หลังทำจมูก เนื่องจากมีผลต่อการสมานแผล
- หากรู้สึกคันบริเวณจมูกให้ใช้คอตตอนบัดหรือสำลีชุบน้ำเกลือเช็ดอย่างเบามือ
- หลีกเลี่ยงการเล่นกีฬาหนัก ๆ การวิ่ง, การว่ายน้ำ, การมีเพศสัมพันธ์, การสั่งน้ำมูก, การขยี้จมูก, ก้มหน้านาน ๆ และยกของหนัก เนื่องจากเนื้อจมูกยังไม่เข้าที่ดี
- หากมีอาการผิดปกติ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
หลังเสริมจมูกแบบปิด ห้ามกินอะไรบ้าง ?
หลังเสริมจมูก สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ ในช่วงแรกหลีกเลี่ยงอาหารแสลงที่จะทำให้แผลหายช้า หรือกระตุ้นการอักเสบ เช่น ของหมักดอง ของสุก ๆ ดิบ ๆ อาหารทะเล ปลาร้า ปูดอง อาหารที่มีคาเฟอีน เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หลังจากแผลเข้าที่ หายดีแล้ว สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติครับ
เสริมจมูกแบบปิด กี่วันเข้าที่ ?
หลังการเสริมจมูก ต้องดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด รวมไปถึงข้อห้ามต่าง ๆ และมีกำหนดการนัดตัดไหม นัดติดตามผล โดยอาการที่จะพบในแต่ละช่วงได้แก่
- หลังจากเสริมจมูกไป 2 สัปดาห์แรก คนไข้จะมีอาการบวม จากนั้นแผลจะค่อย ๆ แห้งและยุบบวม ไปใน 1-2 สัปดาห์
- ประมาณ 1 เดือนหลังเสริมจมูก อาการข้างเคียงภายนอกที่เห็นได้ชัด ที่มีรอยช้ำ บวม เขียว จะหายไปเกือบหมด
- หลังเสริมจมูก 3 เดือน อาการบวมหายไปหมดแล้ว จมูกจะเริ่มรัดแกน เห็นเป็นรูปทรงและดูเป็นเรียวขึ้น ดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น (ในกรณีหากมีสิวอักเสบ หรือสิวหัวช้างขึ้นบริเวณปลายจมูกรักษาแล้วไม่หาย อาจเพราะจมูกมีการอักเสบ ให้รีบพบแพทย์ทันที)
- หลังเสริมจมูก 6 เดือน ถึง 1 ปี จมูกเข้าที่เกิน 90% สวยเข้ารูปในแบบที่ต้องการ
ผลลัพธ์หลังผ่าตัด แผลผ่าตัดเสริมจมูกจะหายเร็วหรือหายช้า ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองมากน้อยเพียงใด รวมไปถึงสภาพผิวของแต่ละคนร่วมด้วย
คำถามที่มักพบบ่อย
หลังเสริมจมูก สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ ในช่วงแรกหลีกเลี่ยงอาหารแสลงที่จะทำให้แผลหายช้า หรือกระตุ้นการอักเสบ เช่น ของหมักดอง ของสุก ๆ ดิบ ๆ อาหารทะเล ปลาร้า ปูดอง อาหารที่มีคาเฟอีน เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หลังจากแผลเข้าที่ หายดีแล้ว สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติครับ
- ได้ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติสวยงาม แถมยังเหมาะกับสัดส่วนของใบหน้าของแต่ละบุคคล
- ฟื้นตัวเร็วหลังผ่าตัด ใช้เวลาพักฟื้นน้อยมาก แทบไม่บวมช้ำหลังผ่าตัด
- ทางเลือกสำหรับคนไข้ที่งบไม่ถึง แต่ให้ผลลัพธ์ที่ไม่ต่างกัน
การเสริมจมูกแบบปิด แม้จะเป็นการผ่าตัด แต่อาการหลังเสริมจมูกจะมีน้อยกว่าการเสริมจมูกแบบเปิด อาการที่พบได้ทั่วไป เช่น ตึงบริเวณแผลผ่าตัด ใต้ตาบวม เขียวช้ำ มีเลือดออก บ้วนปากแล้วมีเลือดลงคอ อึดอัดจมูก ซึ่งควรดูแลตัวเองย่างเคร่งครัดเพื่อให้ผลลัพธ์จมูกออกมาพุ่งสวย ดูโด่งอย่างที่ต้องการและคุ้มค่าที่สุด
สรุป
เสริมจมูกแบบปิด เหมาะสำหรับคนที่ต้องการปรับทรงจมูก โดยประหยัดเวลาและงบประมาณ แต่ต้องเลือกทำกับแพทย์ที่มีความน่าเชื่อถือ ประสบการณ์ ถึงจะได้ผลลัพธ์เป็นความสวยที่คุ้มค่าเกินราคา หลังทำควรปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่ดครัด เพื่อผลลัพธ์ออกมามีประสิทธิภาพที่สุด